ภาคต่อว่าด้วยแนวคิดเลิกโต
โดย เควิน คาร์สัน
เควิน คาร์สัน. บทความต้นฉบับ. More Degrowth Dogma. 5 เมษายน 2025. แปลเป็นภาษาไทยโดย Kin
การวิพากษ์แนวคิดเลิกโต (degrowth) โดยฝ่ายซ้าย “อีโคโมเดิร์นนิสต์” และเร่งสภาพการณ์นิยมอย่างลีห์ ฟิลิปส์ (อ่านคำวิจารณ์ของผมได้ที่นี่) และอิสรเสรีนิยมฝ่ายขวาอย่างสตีเฟน กรีนฮัท คล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก ทั้งคู่ต่างแสดงความเกียจคร้านเชิงแนวคิดในระดับสูง ความเกียจคร้านนี้ปรากฏเป็นพิเศษจากการที่พวกเขาไม่ยอมนิยามคำว่าเลิกโตให้ชัดเจน เลือกใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เชื่อมโยงกับคำคำนี้ในแง่ลบ และหยิบยกประเด็นที่ไม่ได้สนทนากับทฤษฎีเลิกโตจริงๆ อย่างตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ กรีนฮัท (“The ‘Degrowth’ Mentality Promises a World of Poverty and Misery,” Reason October 25 — reprinted from Orange County Register) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของแนวโน้มดังกล่าว
ตอนต้นของบทความ กรีนฮัทสรุปว่าแนวคิดเลิกโตเสนอว่า “ความพยายามอย่างต่อเนื่องของมนุษยชาติในการพัฒนาความเป็นอยู่ทางเศรษฐกิจนั้นไม่ยั่งยืนและเป็นภัยคุกคามต่อโลกใบนี้” ในตอนท้าย เขาสรุปอย่างหยาบๆ กว่าเดิมว่า โลกในฝันของขบวนการเลิกโตคือโลกที่พวกเรา “ใช้เวลาทั้งวันตระเวนหาอาหารและซักผ้าด้วยก้อนหิน”
กรีนฮัทอ้างอิงเว็บไซต์ Degrowth.info ว่าแนวคิดเลิกโต “ต้องการการกระจายทรัพยากรใหม่อย่างถอนรากถอนโคน (radical redistribution) ลดขนาดเศรษฐกิจในแง่วัตถุลง และเปลี่ยนผ่านสู่ค่านิยมร่วมในการดูแล เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และยืนด้วยลำแข้งของตนเองได้” แน่นอนว่าเขาไม่พูดถึงส่วนที่เรียกร้อง “ชีวิตที่ดีสำหรับทุกคนภายใต้ขีดจำกัดการรองรับของโลก”
ตามคาด เขามองข้ามประเด็นนี้โดยกล่าวหาว่ามันเป็น “มุมมองเน้นสิ่งแวดล้อมรูปแบบล่าสุดที่สะท้อนลัทธิเผด็จการฝ่ายซ้ายแบบเดิมๆ” เขาโยงประเด็นนี้กับบทความเกี่ยวกับการก้าวกระโดดอันยิ่งใหญ่ (Great Leap Forward) ของจีน
เนื่องจากการกระจายทรัพยากรใหม่อย่างถอนรากถอนโคนและการกำหนดว่าจะจัดระเบียบสังคมใหม่อย่างไรต้องอาศัยอำนาจมหาศาลของรัฐ ดังนั้น ไม่ว่าในทางปฏิบัติแนวคิด[เลิกโต]นี้จะหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ผลลัพธ์ย่อมลงเอยด้วยการกดคนให้เป็นทาสและทำให้ทุกคนยากจนลงด้วยกันทั้งหมด และนำไปสู่ความอดอยากและความทุกข์ยากอย่างแน่นอน
…บางคนอาจแย้งว่า ผู้กำหนดนโยบายหัวก้าวหน้าในแคลิฟอร์เนียกำลังดำเนินแนวทางนี้ในลักษณะที่นุ่มนวลอ่อนโยนกว่า ด้วยการทำลายอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ และพยายามซ่อมสร้างเศรษฐกิจและปรับรูปแบบการใช้ที่ดินเพื่อส่งเสริมอนาคตที่ “ยั่งยืน” และปลอดคาร์บอน
เป็นเรื่องย้อนแย้งที่กรีนฮัทยกนโยบายก้าวกระโดดอันยิ่งใหญ่ของจีนมาใช้เปรียบเทียบในที่นี้ เพราะนโยบายดังกล่าวไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยการรัดเข็มขัด แต่เกิดจากความตั้งใจที่จะเร่งขยายกำลังการผลิตทางอุตสาหกรรมอย่างรุนแรง
โดยสาระสำคัญแล้ว ข้อความที่ยกมาข้างต้นเต็มไปด้วยตรรกะวิบัติแบบหุ่นฟาง ทั้งยังสะท้อนอคติส่วนตัวของเขาเอง กรีนฮัทมองข้ามเรื่องที่ว่า ประวัติศาสตร์จริงๆ ของทุนนิยมที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งแตกต่างจากเทพนิยายที่ไม่สนใจบริบทประวัติศาสตร์ที่นิตยสาร Reason คอยปกป้องอยู่เสมอ ก่อตัวขึ้นผ่านการใช้อำนาจรัฐอย่างมหาศาลเพื่อกระจายทรัพยากรใหม่อย่างถอนรากถอนโคนและจัดระเบียบสังคมใหม่ การสร้างระบบค่าแรง (wage system) ซึ่งตั้งอยู่บนฐานของการแยกชนชั้นแรงงานไร้ทรัพย์สิน (propertyless working class) ออกจากปัจจัยการผลิตที่กระจุกอยู่ในมือของเจ้าของที่ไม่ได้ลงแรงเอง (absentee owners) ไม่เพียงต้องอาศัยการล้มล้างสิทธิ์ร่วมในที่ดินตามจารีต (customary communal rights) ของชาวนาทั้งระบบตั้งแต่ปลายยุคกลาง แต่ยังต้องอาศัยกฎหมายว่าด้วยการจรจัด (vagrancy laws) ซึ่งลงโทษชาวนาผู้ที่เพิ่งไร้ที่ดินด้วยการเฆี่ยน ตัดใบหู และบังคับใช้แรงงานเสมือนทาส (peonage) หากพวกเขาไม่ยอมทำงานกับเจ้าของที่ดินตามเงื่อนไขที่ฝ่ายเจ้าที่ดินเป็นผู้เสนอ
ในความเป็นจริง การกระจุกตัวของความมั่งคั่งแบบที่เป็นอยู่ รวมถึงการบริโภคทรัพยากรและสินค้าสิ้นเปลืองแบบที่เป็นอยู่ต่างหากที่พึ่งพิงการแทรกแซงของรัฐ มุกตลกที่อำกันบ่อยๆ คือรัฐบาลของประเทศที่เกิดจากการตั้งถิ่นฐานของผู้ล่าอาณานิคม (settler states) อย่างสหรัฐอเมริกาและแคนาดา แท้จริงแล้วก็คือกลุ่มบริษัทเหมืองแร่และน้ำมันที่ปลอมตัวมาในคราบรัฐบาล
หนึ่งในหน้าที่หลักของลัทธิล่าอาณานิคมตะวันตก คือการยึดและผนวกทรัพยากรธรรมชาติของประเทศที่ถูกล่าอาณานิคม ส่วนหน้าที่หลักของระเบียบแบบเสรีนิยมใหม่ในโลกหลังอาณานิคม คือการบีบบังคับให้ประเทศซีกโลกใต้ต้องพัฒนาแบบเน้นการส่งออก โดยมีทรัพยากรธรรมชาติเป็นสินค้าหลักที่ส่งออกไปยังโลกตะวันตก ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดโดยฝ่ายหลัง แนวทางการเติบโตของทุนนิยมตั้งอยู่บนฐานของการเติมทรัพยากรที่ถูกทำให้ดูเหมือนมีอยู่อย่างเหลือเฟือเข้าไปในระบบมาตั้งแต่แรก
การอ้างถึงเชื้อเพลิงฟอสซิลและรูปแบบการใช้ที่ดินเป็นตัวอย่างชั้นดีของการตั้งคำถามโดยมีธงในใจ
ในโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งเดียวที่จำเป็นต้องทำเพื่อ “ทำลาย” อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล คือการยกเลิกการใช้อำนาจเวนคืนที่ดินเพื่อสร้างท่อส่งน้ำมัน (eminent domain for pipelines) ยกเลิกเพดานความรับผิดตามกฎหมายสำหรับเหตุการณ์น้ำมันรั่ว และเปิดให้อุตสาหกรรมนี้ต้องรับผิดทางแพ่งอย่างเต็มที่ต่อผลกระทบภายนอกทั้งหมดที่มันก่อขึ้น
ตัวแสดงหลักเบื้องหลังรูปแบบการใช้ที่ดินที่มีรถยนต์เป็นศูนย์กลางแบบในปัจจุบันก็คือรัฐ ไม่ว่าจะผ่านการอุดหนุนอย่างมหาศาล (รวมถึงการใช้อำนาจเวนคืนที่ดินเพื่อรื้อถอนชุมชนทั้งชุมชน) การสร้างระบบทางด่วนในเมือง
การบังคับใช้การพัฒนาเชิงเดี่ยว (monoculture development) และการพัฒนาความหนาแน่นต่ำ (low-density development) ผ่านกฎหมายผังเมืองและแผนผังการออกแบบเมือง รวมถึงการอุดหนุนพื้นที่พัฒนาใหม่รอบนอกโดยให้พื้นที่พัฒนาชั้นในที่อยู่มาก่อนและมีความหนาแน่นสูงต้องแบกรับต้นทุนในการขยายถนนและสาธารณูปโภคออกไปยังพื้นที่พัฒนาใหม่อย่างไม่เป็นธรรม
สำหรับเรื่อง “การปรับโครงสร้างสังคม” รูปแบบการพัฒนาของทุนนิยมอุตสาหกรรมแบบอเมริกันตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงกลางศตวรรษที่ 20 ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากนโยบายของรัฐ หากไม่มีระบบรถไฟพลเรือน ระบบการบินพลเรือน และระบบทางหลวงที่รัฐเป็นผู้ลงทุนสร้างเกือบทั้งหมด รวมถึงการใช้สิทธิบัตรเพื่อรวมศูนย์และผูกขาดอุตสาหกรรมแล้ว โมเดลการผลิตแบบรวมศูนย์ขนาดใหญ่ที่มีต้นทุนการผลิตสูงซึ่งเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 ก็คงจะไม่เกิดขึ้น ในทางกลับกัน เราน่าจะได้เห็นรูปแบบการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่บนฐานของเศรษฐกิจการผลิตท้องถิ่นหลายสิบหรือหลายร้อยแห่ง คล้ายกับเขตอุตสาหกรรมเอมิเลีย-โรมาญ่าในอิตาลี ซึ่งเป็นการผลิตแบบต้นทุนต่ำ ใช้เครื่องจักรไฟฟ้าเอนกประสงค์ และสามารถเปลี่ยนสายการผลิตได้บ่อยครั้งตามความต้องการของตลาดเป็นหลัก
กรีนฮัทแสดงให้เห็นถึงจุดบอดเชิงแนวคิดในระดับพื้นฐานด้วยการเสนอประเด็นนี้ราวกับเป็นการเปรียบเทียบระหว่าง “เศรษฐกิจแบบตลาด” กับ “เศรษฐกิจแบบสั่งการและควบคุม” เขาอ้างว่าเศรษฐกิจแบบตลาดสร้างแรงจูงใจที่ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์และก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ในระดับที่น่าทึ่ง ในขณะที่เศรษฐกิจแบบสั่งการและควบคุม ไม่ว่าจะดำเนินการโดยขุนศึกหรือเทคโนแครตนักวางแผนก็ล้วนแต่ลงเอยด้วยความขาดแคลนและยากจนทั้งสิ้น
การเหมารวมเอาว่า “เศรษฐกิจแบบตลาด” เป็นสิ่งเดียวกับทุนนิยมแบบบรรษัทข้ามชาติในโลกโลกาภิวัตน์แบบที่เป็นอยู่นั้นเป็นเรื่องผิดฝาผิดตัว ที่จริง แนวคิดเรื่อง “เศรษฐกิจแบบตลาด” ที่เขาว่ามาแทบจะไร้ความหมายในตัวเอง เศรษฐกิจแบบตลาดโดยนิยามแล้วคือระบบที่เปิดโอกาสให้ราคาสินค้าปรับตัวตามกลไกอุปสงค์อุปทานโดยปราศจากการแทรกแซง ซึ่งแนวคิดนี้ไปกันได้กับกฎเกณฑ์ด้านกรรมสิทธิ์ (sets of property rules) หลากหลายรูปแบบ โครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจแบบบรรษัทข้ามชาติระดับโลกยังตั้งอยู่บนฐานของอำนาจรัฐ บรรษัทข้ามชาติต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภคและการขนส่งที่รัฐอุดหนุนอย่างมหาศาล รวมถึงการอุดหนุนด้านต้นทุนการผลิตอื่นๆ นอกจากนั้นยังใช้ทรัพย์สินทางปัญญาในการล้อมรั้วกระบวนการผลิตที่จ้างเหมาภายนอก (outsourced production) โดยผู้รับเหมาที่ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นอิสระ แต่กลับต้องอยู่ภายใต้อำนาจของบรรษัทอย่างเต็มที่ ข้อตกลงทรัพย์สินทางปัญญาแบบสุดโต่งอนุญาตให้ทุนตะวันตกสามารถส่งออกการผลิตจริงๆ ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดออกไปยังผู้รับจ้างผลิตในเอเชีย โดยจ่ายค่าจ้างต่ำเตี้ยให้กับโรงงานทาสที่ผลิตสินค้าให้พวกเขา โดยที่ตัวเองยังคงถือสิทธิผูกขาดตามกฎหมายในการควบคุมการจัดจำหน่ายสินค้าเหล่านั้นอยู่ในมือ ทำให้สามารถบวกกำไรเพิ่มอีกหลายร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อนำไปวางขายตามร้านค้าปลีก
แต่กรีนฮัทตกเป็นเหยื่อของความล้มเหลวทางแนวคิดที่หนักหนากว่านั้น ความล้มเหลวที่ผมพูดถึงไปก่อนหน้านี้ ว่าเขาไม่ให้คำนิยามที่ชัดเจนของคำว่า “การเติบโต” และ “การเลิกโต” เลยแม้แต่น้อย ยกตัวอย่างเช่น
สังคมที่เศรษฐกิจเติบโตสามารถรับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อมได้ดีที่สุด เพราะมีทรัพยากรส่วนเกินไว้ใช้ปรับปรุงสิ่งแวดล้อม สังคมที่เติบโตและเป็นเสรีจะก่อให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยลดการปล่อยมลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ประเทศคอมมิวนิสต์กลับกลายเป็นผู้ก่อมลพิษรายใหญ่ของโลก
ที่ย้อนแย้งก็คือ ประเทศมาร์กซิสต์-เลนินนิสต์ในศตวรรษที่ 20 สร้างของเสียและมลพิษปริมาณมหาศาลด้วยเหตุผลเดียวกันกับประเทศทุนนิยมตะวันตก นั่นคือทั้งสองต่างมีความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับคำว่า “การเติบโต” ทฤษฎีว่าด้วยผลิตภาพส่วนเพิ่มของจอห์น เบสต์ คลาร์ก มองว่าความสามารถในการเรียกเก็บเงินจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่ากับการสร้างมูลค่า[ให้กับสิ่งสิ่งนั้น] ทั้งระบบบัญชีที่คิดบนฐานของ GDP ระดับชาติและระบบบัญชีบริหารของบรรษัทตามมาตรฐาน GAAP ต่างก็มีแนวโน้มที่จะมองการบริโภคทรัพยากรว่าเป็นการสร้างมูลค่า และเมื่อทรัพยากรที่ใช้ในการผลิตได้รับการอุดหนุนโดยรัฐ ส่วนบริษัทที่สร้างผลกระทบภายนอกเชิงลบกลับได้รับการปกป้องไม่ให้ต้องรับผลของการกระทำของตน แรงจูงใจในการลดของเสียหรือมลภาวะจึงยิ่งน้อยลงไปอีก ทำนองเดียวกัน หน่วยงานวางแผนเศรษฐกิจของโซเวียตอย่างกอสแพลน (Gosplan) ถือว่าการใช้ทรัพยากรเพื่อผลิตสินค้าให้ได้ตามโควตาที่กำหนดไว้ในแผนคือการสร้างมูลค่า โดยไม่คำนึงว่าสินค้าที่ผลิตออกมาจะมีใครใช้งานหรือใช้งานได้จริงหรือไม่ เมื่อนักวางแผนของภาครัฐไม่ได้กำหนดมูลค่าหรือราคาสำหรับผลกระทบภายนอกเชิงลบเหล่านี้ เพื่อมุ่งเน้นการเพิ่มปริมาณผลผลิตให้สูงสุด พวกเขาจึงมีแรงจูงใจที่จะหลีกเลี่ยงมลพิษน้อยกว่าประเทศตะวันตก
นอกจากนี้ โครงสร้างของเศรษฐกิจแบบผลิตปริมาณมากยังสร้างแรงจูงใจเพิ่มเติมในการสร้างของเสียและความไร้ประสิทธิภาพ อุตสาหกรรมอเมริกันที่พึ่งพิงเครื่องจักรราคาแพงที่ใช้ผลิตสินค้าเฉพาะอย่าง จึงมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผลิตสูงและมีแรงจูงใจอย่างมากในการผลิตสินค้าออกมาให้ได้มากที่สุดเพื่อลดต้นทุนต่อชิ้นลง นำไปสู่การผลิตสินค้าสิ้นเปลืองปริมาณมหาศาล (ไม่ว่าจะเป็นระบบอุตสาหกรรม-ทหาร (military-industrial complex) การขยายเมืองแบบไร้ทิศทางพร้อมกับวัฒนธรรมที่พึ่งพารถยนต์ หรือการออกแบบสินค้าให้เสื่อมสภาพเร็วโดยตั้งใจ (planned obsolescence) ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ระบบเดินหน้าต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
ตรงนี้เองที่ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับคำว่าการเติบโตและการเลิกโตเป็นเรื่องสำคัญ กรีนฮัทอ้างอิงงานเกี่ยวกับขบวนการเลิกโตหลักๆ สองชิ้น ชิ้นแรกจาก Vox อีกชิ้นจาก World Economic Forum เขาเลือกอ้างอิงข้อความจากทั้งสองบทความโดยจงใจละเลยรายละเอียดและคำอธิบายสำคัญจำนวนมาก ทำให้เกิดภาพที่บิดเบือนอย่างรุนแรง เขาพูดถึงข้อโต้แย้งเพื่อปกป้องแนวคิดเลิกโตโดยนักเขียนอย่างเจสัน ฮิกเคิล และคนอื่นๆ แค่พอเป็นพิธี แล้วรีบกล่าวหาว่าคนเหล่านี้กำลัง “ตกแต่ง” หุ่นฟางของแนวคิดที่เขาแปะป้ายแบบผิดๆ ให้ “ให้ฟังดูมีเหตุมีผล” (sanewashing)
บทความทั้งสองชิ้นที่กรีนฮัทอ้างถึง อย่างน้อยที่สุดก็มีข้อดีตรงที่พยายามถ่ายทอดข้อโต้แย้งของแนวคิดเลิกโตจริงๆ อย่างซื่อตรง แม้พวกเขาจะยังตกหล่มความสับสนที่ซื่อตรงพอๆ กัน เนื่องจากเทียบคำว่า “การเติบโต” กับคุณภาพชีวิต “การเลิกโต” กับการรัดเข็มขัด และ GDP กับความเจริญรุ่งเรือง บทความทั้งสองอ้างคำพูดของคนอื่นอยู่หลายครั้ง เช่น (บทความใน WEF) อ้างถึงคำพูดของฮิกเคิล ว่าแนวคิดเลิกโตไม่ใช่เรื่องของการรัดเข็มขัดตรงๆ แต่คือการ “ลดปริมาณการใช้ [พลังงานและทรัพยากร] โดยรวม”
บทความใน Vox โควตคำพูดของฮิกเคิลที่ยาวกว่านั้นมาก
ถ้าเครื่องซักผ้า ตู้เย็น และโทรศัพท์ของเราใช้งานได้นานเป็นสองเท่า เราก็จะบริโภคสิ่งเหล่านี้เพียงครึ่งหนึ่ง (ซึ่งหมายความว่าผลผลิตของอุตสาหกรรมเหล่านี้จะมีปริมาณลดลง) โดยที่เราไม่ได้สูญเสียการเข้าถึงสินค้าเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย…
…คำว่าความยากจนเป็นการเข้าใจผิดอย่างมาก เพราะสินค้าที่ใช้งานได้นานขึ้น ค่าจ้างที่เลี้ยงชีพได้ ชั่วโมงการทำงานที่สั้นลง การเข้าถึงบริการสาธารณะที่ดีขึ้น และที่อยู่อาศัยในราคาที่เอื้อมถึง สิ่งที่เรากำลังเรียกร้องเหล่านี้ตรงกันข้ามกับความยากจนโดยสิ้นเชิง แน่นอน อุตสาหกรรมอย่างรถ SUV และแฟชั่นรวดเร็วอาจหดตัวลง แต่ไม่ได้แปลว่าเรายากจน เราสามารถแทนที่สิ่งเหล่านั้นด้วยระบบขนส่งสาธารณะและเสื้อผ้าที่มีอายุการใช้งานยาวนาน ซึ่งยังคงตอบสนองความต้องการของทุกคนได้อยู่ดี
หัวใจอยู่ตรงนี้เอง การให้ความสำคัญกับการ “ลดการผลิต” ไม่มีความหมายอะไรเลย เว้นแต่เราจะคำนึงด้วยว่าสิ่งที่เราผลิตจริงๆ แล้วเป็นสินค้าสิ้นเปลืองและสร้างอรรถประโยชน์เชิงลบ (negative utility) มากน้อยเพียงใด
เนื้อในส่วนใหญ่ของ GDP มาจากระบบอุตสาหกรรม-ทหาร ตำรวจ และเรือนจำ ทางหลวงระหว่างรัฐที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลทำให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าครอบคลุมพื้นที่ตลาดขนาดใหญ่ถูกลงอย่างไม่เป็นธรรม ทั้งที่ในความเป็นจริง สินค้าเหล่านั้นควรจะผลิตเพื่อบริโภคในท้องถิ่นจึงจะคุ้มค่าทางเศรษฐกิจกว่ามาก การขยายเมืองแบบไร้ทิศทางและวัฒนธรรมรถยนต์ที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐก่อให้เกิดระยะทางเทียม (artificial distance) ระหว่างสิ่งต่างๆ ทำให้ผู้คนต้องพึ่งพารถยนต์ และกลายเป็นอุปสรรคต่อระบบขนส่งสาธารณะที่สะดวกและมีประสิทธิภาพ การออกแบบให้สินค้าเสื่อมสภาพเร็วโดยเจตนาเกิดขึ้นทุกหนแห่ง สินค้าจำนวนมากถูกออกแบบมาเพื่อให้ซ่อมแซมยากและมีอายุการใช้งานสั้น ภาคเศรษฐกิจส่วนใหญ่เต็มไปด้วย “งานเฮงซวย”
และสินค้าสิ้นเปลืองพวกนี้ส่วนใหญ่จะกำจัดให้หมดไปได้ไม่ใช่ด้วยการควบคุมบังคับ แต่ด้วยการยกเลิกการอุดหนุนและการคุ้มครองไม่ให้ต้องรับผิดทางกฎหมาย เพื่อให้ราคาของการบริโภคทรัพยากรสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง รวมถึงกำจัดการใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาในการสนับสนุนการออกแบบสินค้าให้เสื่อมสภาพไว
หากไม่มีความขาดแคลนเทียมที่ถูกสร้างขึ้นโดยกฎหมาย อาทิ ทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งขัดขวางไม่ให้ผลประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการผลิตและออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีอายุใช้งานที่เหมาะสม ถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภค ผลลัพธ์ตามธรรมชาติของประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นก็คือ GDP จะหดตัวลง สิ่งที่ขัดขวางคุณภาพชีวิตไม่ให้แยกตัวออกจาก GDP ก็คือความขาดแคลนเทียมนี่เอง ดังที่ทอม ปีเตอร์สเคยโอ้อวดเอาไว้ว่า ราคากล้องตัวใหม่ของเขาส่วนใหญ่มาจาก “ปัญญา” (intellect) มากกว่าต้นทุนแรงงานหรือวัสดุ
เรายังถกเถียงกันได้ว่า การยุติการอุดหนุนการบริโภคทรัพยากรและสินค้าสิ้นเปลื้องจะเพียงพอหรือไม่ต่อการลดรอยเท้านิเวศให้ได้ตามเป้าที่ต้องการเพื่อบรรเทาความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม แต่ขอให้เราถกเถียงกันอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่ด้วยการพูดอะไรมั่วๆ อย่าง “นี่คือการย้อนเวลากลับไปล้มเลิกความก้าวหน้ามากมายที่เคยยืดอายุขัยและยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเรา” หรือคอยเทศนาให้กับผู้ฟังที่เห็นคล้อยตามกันอยู่แล้วในพื้นที่อย่าง OC Register
C4SS relies entirely on donations. If you want to see more translations like this, please consider supporting us. Click here to see how
The Center for a Stateless Society (www.c4ss.org) is a media center working to build awareness of the market anarchist alternative
Source: https://c4ss.org/content/60640
Anyone can join.
Anyone can contribute.
Anyone can become informed about their world.
"United We Stand" Click Here To Create Your Personal Citizen Journalist Account Today, Be Sure To Invite Your Friends.
Before It’s News® is a community of individuals who report on what’s going on around them, from all around the world. Anyone can join. Anyone can contribute. Anyone can become informed about their world. "United We Stand" Click Here To Create Your Personal Citizen Journalist Account Today, Be Sure To Invite Your Friends.
LION'S MANE PRODUCT
Try Our Lion’s Mane WHOLE MIND Nootropic Blend 60 Capsules
Mushrooms are having a moment. One fabulous fungus in particular, lion’s mane, may help improve memory, depression and anxiety symptoms. They are also an excellent source of nutrients that show promise as a therapy for dementia, and other neurodegenerative diseases. If you’re living with anxiety or depression, you may be curious about all the therapy options out there — including the natural ones.Our Lion’s Mane WHOLE MIND Nootropic Blend has been formulated to utilize the potency of Lion’s mane but also include the benefits of four other Highly Beneficial Mushrooms. Synergistically, they work together to Build your health through improving cognitive function and immunity regardless of your age. Our Nootropic not only improves your Cognitive Function and Activates your Immune System, but it benefits growth of Essential Gut Flora, further enhancing your Vitality.
Our Formula includes: Lion’s Mane Mushrooms which Increase Brain Power through nerve growth, lessen anxiety, reduce depression, and improve concentration. Its an excellent adaptogen, promotes sleep and improves immunity. Shiitake Mushrooms which Fight cancer cells and infectious disease, boost the immune system, promotes brain function, and serves as a source of B vitamins. Maitake Mushrooms which regulate blood sugar levels of diabetics, reduce hypertension and boosts the immune system. Reishi Mushrooms which Fight inflammation, liver disease, fatigue, tumor growth and cancer. They Improve skin disorders and soothes digestive problems, stomach ulcers and leaky gut syndrome. Chaga Mushrooms which have anti-aging effects, boost immune function, improve stamina and athletic performance, even act as a natural aphrodisiac, fighting diabetes and improving liver function. Try Our Lion’s Mane WHOLE MIND Nootropic Blend 60 Capsules Today. Be 100% Satisfied or Receive a Full Money Back Guarantee. Order Yours Today by Following This Link.
