Read the Beforeitsnews.com story here. Advertise at Before It's News here.
Profile image
By Center for a Stateless Society
Contributor profile | More stories
Story Views
Now:
Last hour:
Last 24 hours:
Total:

เลิกโต: เถียงไปก็ไม่ได้อะไรถ้ายังเข้าใจไม่ตรงกัน

% of readers think this story is Fact. Add your two cents.


โดย เควิน คาร์สัน
เควิน คาร์สัน. บทความต้นฉบับ. Degrowth: The Conceptual Confusion Continues. 1 เมษายน 2025. แปลเป็นภาษาไทยโดย Kin

ผมเสนอไว้ในงานศึกษาของศูนย์เพื่อสังคมไร้รัฐในปี 2019 (We Are All Degrowthers. We Are All Ecomodernists) ว่าวิวาทะระหว่างฝ่ายสนับสนุนกับฝ่ายเห็นแย้งเกี่ยวกับแนวคิดเลิกโต (degrowth) แทบจะเข้าใจไม่ได้เลย เพราะไม่มีฝ่ายไหนนิยามคำว่า “เลิกโต” หรือถกเถียงกันโดยยึดกับความหมายใดความหมายหนึ่งให้ชัดเจน บทความของพอล ไครเดอร์ เรื่อง “Degrowth: Neither Left Nor Right, But Backward” (Liberal Currents, Dec. 12, 2022) ยิ่งตอกย้ำว่าปัญหานี้ยังไม่ถูกแก้ไข ผมอยากชื่นชมว่าไครเดอร์วิจารณ์แนวคิดเลิกโตด้วยเจตนาที่ดีกว่าลีห์ ฟิลิปส์ (ซึ่งผมวิเคราะห์ไว้ในงานศึกษาของศูนย์ C4SS ด้านบน) ไครเดอร์ไม่ได้อ่านงานเกี่ยวกับแนวคิดนี้ด้วยอคติรุนแรงเหมือนที่ฟิลลิปส์ทำ (ในแง่ภูมิหลัง ไครเดอร์ระบุว่าตนเองเป็นเสรีนิยม ส่วนฟิลลิปส์สังกัดสำนักเร่งความก้าวหน้าหรือเร่งสภาพการณ์นิยมฝ่ายซ้าย – left-accelerationist)

ไครเดอร์ตั้งต้นมาได้ดี

คำคำนี้ (เลิกโต) ชวนให้ตกใจในตัวเองอยู่แล้ว เพราะสำหรับคนที่คุ้นเคยกับสมมติฐานเชิงบวกเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจจากมุมนโยบายสาธารณะ รวมถึงความกลัวและความยากลำบากที่มักมากับภาวะเศรษฐกิจถดถอย การเลิกโตชวนให้นึกถึงนโยบายที่ทำลายตัวเอง ไม่ก็เป็นการย้อนกลับไปสู่ชีวิตในยุคบุพกาล

แต่แนวคิดนี้ก็มีอะไรที่ชวนคิดพิจารณา ผมตั้งใจจะชี้ให้เห็นว่า แม้แนวคิดเลิกโตจะมีข้อบกพร่องร้ายแรง แต่กระแสต่างๆ ในขบวนการเลิกโตนี้ก็มักถูกเข้าใจผิด ถูกวิจารณ์แบบจับแพะชนแกะ หรือถูกตีความคลาดเคลื่อนไป เราควรยอมรับจุดที่แนวคิดเลิกโตพูดได้ถูกต้อง ได้แก่ หนึ่ง ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่มีปัญหา สอง การยกให้การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นเป้าหมายหลักเชิงนโยบายไม่ใช่สิ่งที่สมเหตุสมผลในตัวเองในมุมเสรีนิยมหรือมุมอื่นๆ แม้จะเป็นสมมติฐานที่เชื่อกันแทบจะทั่วโลกก็ตาม และสาม การไล่ตามการเติบโตทางเศรษฐกิจมีราคาที่ต้องจ่าย และหลักการข้อนี้สามารถถูกผลักให้สุดทางจนผิดเพี้ยนไปได้เลยเช่นกัน

การวิเคราะห์ของเขาเริ่มจะออกนอกลู่นอกทางหลังจากนี้ โดยเริ่มจากปัญหาเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลที่เขาใช้ ตามด้วยความไม่ชัดเจนเชิงแนวคิดของเขาเอง รวมกับการสรุปที่เกินจริงจากข้อมูลเหล่านั้น เริ่มที่ประเด็นแรก

ควรดูกันเสียหน่อยว่าคนที่สนับสนุนแนวคิดเลิกโตอธิบายตัวเองไว้ว่าอย่างไร จากงานทั้งหลายที่ผมตามอ่าน ผมพบว่าหนังสือ The Future Is Degrowth: a Guide to a World Beyond Capitalism โดย มัทเธียส ชเมลเซอร์, แอรอน แวนซินเทียน และแอนเดรีย เว็ทเทอร์ ให้ข้อมูลที่ชัดเจนและอ่านเพลินเกี่ยวกับแนวคิดและทิศทางของขบวนการเลิกโตได้เป็นอย่างดี ตอนต้นของหนังสือเล่มนี้อ้างถึงผลสำรวจชุดหนึ่งซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับประเด็นที่กำลังพูดถึงในที่นี้

เขายกข้อความจากหนังสือเล่มนี้มาอ้างไว้

การสำรวจเชิงประจักษ์ที่ใหญ่โตที่สุดเกี่ยวกับกลุ่มผู้สนับสนุนแนวคิดเลิกโตเกิดขึ้นในงานประชุมที่ไลป์ซิกเมื่อปี 2014 ซึ่งหนึ่งในพวกเราเข้าร่วมด้วย ผลสำรวจพบว่าผู้ตอบแบบสำรวจมีจุดยืนร่วมกันหลายประเด็น พวกเขาส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจโดยไม่ทำลายธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และด้วยเหตุนี้ ประเทศอุตสาหกรรมจำเป็นต้องลดการผลิตและการบริโภคลงเพื่อให้เกิดความเสมอภาค พวกเขายังเห็นตรงกันในประเด็นที่ว่า คนรวยต้องสละความสะดวกสบายบางอย่างที่เคยชิน และการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมแบบเลิกโตต้องเกิดจากเบื้องล่าง ต้องเป็นไปอย่างสันติ และต้องอาศัยการก้าวข้ามระบบทุนนิยมและระบบปิตาธิปไตย ฉันทามติพื้นฐานนี้ซึ่งเกิดขึ้นจากมุมมองที่หลากหลายของผู้เข้าร่วมประชุม สะท้อนให้เห็นว่าผู้สนับสนุนแนวคิดเลิกโต มีจุดยืนวิพากษ์ต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทุนนิยม และอุตสาหกรรมนิยมอย่างลึกซึ้ง พวกเขาต้องการก้าวข้ามการกดขี่รูปแบบอื่นๆ และเรียกร้องให้มีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในประเทศอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการลดขนาดอุตสาหกรรมและการผลิตสินค้าบางประเภทอย่างเฉพาะเจาะจง จุดยืนนี้ทำให้แนวคิดเลิกโตแตกต่างอย่างชัดเจนจากจุดยืนทางการเมืองอื่นๆ ไม่ใช่แค่เฉพาะจากกลุ่มอนุรักษนิยม (เช่น ฝ่ายที่อยากให้รักษาทุกอย่างไว้ให้เหมือนเดิม ฝ่ายฟาสซิสต์เชิงสิ่งแวดล้อม หรือฝ่ายสนับสนุนการเติบโตสีเขียว หรือ green growth) แต่ยังรวมถึงฝ่ายซ้ายที่เน้นการผลิต เช่น กลุ่มคนส่วนใหญ่ที่เชียร์แนวคิด Green New Deal หรือแนวคิดสังคมหลังทุนนิยม ที่ยังไม่ชัดเจนเพียงพอในเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบทุนนิยม พลวัตของการเติบโต ความยุติธรรมระดับโลก และการบริโภคที่มากเกินไป

ยังไม่ต้องนับเรื่องที่ว่าการสำรวจนี้เป็นเพียงผลสำรวจจากผู้เข้าร่วมงานประชุมที่ไลป์ซิก ซึ่งหมายความว่าข้อสรุปต่างๆ ที่ได้อาจใช้ได้เฉพาะกับขบวนการเลิกโตในเยอรมนีเท่านั้น แต่ปัญหาของข้อความที่ยกมาคือ ขบวนการเลิกโตนั้นเป็น “กระแสที่หลากหลาย” และจุดยืนต่างๆ ที่ระบุไว้ในแต่ละประโยคของข้อความที่เขาอ้าง ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนในขบวนการจะเห็นตรงกันทุกข้อ แม้จะมีคนส่วนใหญ่ที่ตอบแบบสอบถามเห็นด้วยกับแต่ละข้อความ แต่คนส่วนใหญ่ที่ว่าก็อาจไม่ใช่กลุ่มเดียวกันในแต่ละประเด็น ที่สำคัญ คำบางคำที่ใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า “อุตสาหกรรมนิยม” (industrialism) มีความกำกวมสูง และอาจมีความหมายต่างกันไปสำหรับผู้ตอบแบบสำรวจแต่ละคน

ผู้เขียน The Future is Degrowth เองอ้างอิงแหล่งที่มาสำหรับข้อสรุปนี้ไว้สองแหล่งด้วยกัน ได้แก่

1. Matthias Schmelzer and Dennis Eversberg, “Beyond Growth, Capitalism, and Industrialism? Consensus, Divisions and Currents within the Emerging Movement for Sustainable Degrowth,” Interface: A Journal for and about Social Movements 9, no. 1 (2017): 327–56; and

2. Dennis Eversberg and Matthias Schmelzer, “The Degrowth Spectrum: Convergence and Divergence within a Diverse and Conflictual Alliance,” Environmental Values 27, no. 3 (2018): 245–67.

เฉพาะบทความหลังเท่านั้นที่เข้าถึงได้ผ่าน Sci-Hub

เมื่อพิจารณาคำถามจริงที่ใช้ในแบบสำรวจ จะพบว่าไม่มีคำถามข้อใดที่ให้คำจำกัดความที่ชัดเจนของคำว่า “การเติบโต” หรือ “การเลิกโต” และก็ไม่มีคำถามข้อใดที่ให้ผู้ตอบแสดงความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคำจำกัดความใดเป็นพิเศษ คำถามบางข้อกล่าวอย่างคลุมเครือถึงการลดขนาด “การผลิตและการบริโภค” รวมถึง “การหดตัว” (shrinkage) โดยไม่ได้อธิบายให้ชัดเจนว่าหมายถึงอะไร ที่สำคัญกว่านั้น คำว่า “อุตสาหกรรมนิยม” ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่ถูกยกมา ไม่ปรากฏอยู่ในแบบสำรวจเลยด้วยซ้ำ ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยอย่างมากต่อการตีความผลการสำรวจของผู้เขียนทั้งสาม

สิ่งที่ดูจะสร้างความเสียหายมากที่สุดสำหรับคนที่พยายามลบภาพจำว่าแนวคิดเลิกโตคือความอดอยากหรือการรัดเข็มขัด คือการที่ผู้ตอบแบบสำรวจกว่าร้อยละ 86 เห็นด้วยกับข้อความที่ว่า “ในอนาคต เราจะต้องละทิ้งความสะดวกสบายบางอย่างที่เราเคยชิน” แต่แม้กระทั่งข้อความนี้เองก็ไม่ได้มีความหมายชัดเจนแต่อย่างใด ความสะดวกสบายหลายอย่างที่เราอาจต้องละทิ้งในสังคมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น จริงๆ แล้วอาจเป็นสิ่งที่เราถูกบังคับให้บริโภคเพื่อชดเชยสิ่งอำนวยความสะดวกแบบเดิมที่เราเคยมีแต่ถูกพรากไป ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ วัฒนธรรมรถยนต์ (car culture) กล่าวคือ ผู้คนจำเป็นต้องมีรถยนต์ส่วนตัวไว้ใช้งาน เพราะเมืองที่เคยกะทัดรัด ใช้งานได้หลากหลาย เดินหรือปั่นจักรยานได้สะดวก และมีระบบขนส่งสาธารณะคุณภาพสูงถูกทำลายลง ในกรณีของสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่ปัจจุบันสร้างถูกแทรกแซงให้ทำกำไรได้มหาศาล หรือโดนกดราคาด้วยเงินอุดหนุนของรัฐ การลดการบริโภคสิ่งเหล่านี้ลงอาจเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อราคาในตลาดสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงในการผลิต

อีกด้านหนึ่ง ผู้ตอบแบบสำรวจเห็นด้วยกับข้อความที่ว่า “พัฒนาการทางเทคโนโลยีที่สูงในสังคมปัจจุบันไม่ใช่อุปสรรค แต่กลับเป็นเงื่อนไขสำคัญสำหรับสังคมหลังยุคการเติบโต” ในอัตราเกือบ 2 ต่อ 1 พวกเขายังไม่เห็นด้วยกับข้อความที่ว่า การบินระยะไกลเพื่อความบันเทิงล้วนๆ ควรเป็นเรื่องต้องห้าม โดยอัตราการไม่เห็นด้วยมากกว่า 2 ต่อ 1 คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่า มนุษย์ควรกลับไปสู่ “ที่ทางตามธรรมชาติของเราในโลกใบนี้” และเสียงข้างมากที่มากกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่เห็นด้วยกับข้อความที่ว่า “เพื่อใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนมากขึ้น เราควรระลึกถึงและฟื้นฟูวิถีชีวิตของคนรุ่นก่อน”

ดังนั้น ข้อสรุปที่ว่าผู้สนับสนุนแนวคิดเลิกโตมีท่าทีหวาดกลัวเทคโนโลยี (technophobic – จากการที่พวกเขาถูกมองว่าคัดค้าน “แนวคิดผลิตภาพนิยมฝ่ายซ้าย” หรือ leftist productivism ซึ่งตัวมันเองอาจสะท้อนการมองเทคโนโลยีแบบงมงายคล้ายลัทธิบูชาเครื่องบินขนของ) จึงไม่ได้มีหลักฐานยืนยันจากผลการสำรวจ

จากจุดนี้เป็นต้นไป ปัญหาหลักจะอยู่ที่ความไม่ชัดเจนเชิงแนวคิดของไครเดอร์เอง

เขาวิเคราะห์ต่อไปโดยย้อนกลับไปยังจุดตั้งต้นที่เริ่มมาได้ดี นั่นคือ การชี้ให้เห็นถึงปัญหาบางอย่างของการใช้ GDP เป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ

โดยพื้นฐานแล้ว การเติบโตทางเศรษฐกิจมักถูกวัดด้วยตัวชี้วัดที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ซึ่งโดยหลักการแล้ว คือผลรวมของการผลิต การใช้จ่าย หรือรายได้ทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจ เมื่อ GDP เป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่นักการเมืองใช้เป็นเป้าหมายหลักในการกำหนดนโยบายสาธารณะ ขบวนการเลิกโตจึงตั้งคำถามกับข้อจำกัดของ GDP และเรียกร้องให้เลิกใช้มันเป็นตัวชี้วัดหลัก ทว่าแม้ว่า GDP จะเป็นเป้าหมายที่โจมตีได้ง่าย แต่ขบวนการเลิกโตยังคัดค้านการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวม แม้จะมีการนิยามอย่างครอบคลุมกว่านั้นแล้วด้วย

เป็นที่รู้กันว่า GDP ไม่ได้รวมความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่มูลค่าของทรัพยากรธรรมชาติเข้ามาคำนวณด้วย การทำลายภูมิทัศน์และระบบนิเวศเพื่อขุดถ่านหิน (ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มการปล่อยก๊าซเรือนกระจก) ไม่เพียงทำให้ GDP สุทธิเป็นบวก แต่ยังถูกมองเฉพาะในแง่บวก

ยังมีความไร้เหตุผลอีกหลายมิติในเรื่องแรงงานภายในครัวเรือนและแรงงานเพื่อการดูแลชีวิต (domestic and reproductive labor) การทำงานในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดบ้าน ดูแลลูก หรือเลี้ยงดูผู้สูงอายุ ไม่ถูกนับรวมใน GDP ทั้งที่ถ้าจ้างพี่เลี้ยงหรือแม่บ้านแทน งานแบบเดียวกันจะถูกนับเข้าไปใน GDP…

สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีจะมีมูลค่าใน GDP ก็ต่อเมื่อเกิดการแลกเปลี่ยน เช่น การซื้อยา การไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล หรือการไปพบจิตแพทย์ กลับกัน การแพร่กระจายของกิจกรรมและอาหารที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพกลับทำให้ GDP เพิ่มขึ้นได้ทั้งตอนที่จ่ายเงินซื้อหามันมา และเมื่อจ่ายเงินอีกครั้ง (และอีกครั้ง) เพื่อรับการรักษาพยาบาลหรือการบำบัดเพื่อบรรเทาผลเสียหรือความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นตามมา…

ที่จริง ในสองย่อหน้าด้านล่าง ไครเดอร์เกือบจะยอมรับทุกประเด็นของแนวคิดเลิกโตโดยไม่ได้ตั้งใจ

GDP ไม่ได้บอกอะไรเลยเกี่ยวกับทางเลือกที่หลากหลาย หรือการคิดค้นสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ ในมุมของ GDP รองเท้าก็คือรองเท้า แต่ในชีวิตจริง การมีทางเลือกหลากหลาย เช่น การเลือกระหว่างรองเท้าดีไซน์หรู รองเท้าวิ่งไฮเทค หรือรองเท้าบูทหัวเหล็กสำหรับงานก่อสร้าง ย่อมส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมีนัยสำคัญ ก่อนการปฏิวัติดิจิทัล ซึ่งเกิดขึ้นได้ก็เพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจ เราไม่เคยมีอะไรที่เทียบได้กับพลังในการประมวลผลข้อมูล[โดยคอมพิวเตอร์] มันคือสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่เลยก็ว่าได้

แม้ว่า GDP จะเป็นตัวชี้วัดที่สะดวกทั้งสำหรับฝ่ายที่สนับสนุนและฝ่ายที่วิจารณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่โดยสาระสำคัญแล้ว ขบวนการเลิกโตให้ความสำคัญมากกว่ากับการเติบโตในฐานะกระบวนการนำทรัพยากรทางวัตถุมาใช้งาน (material throughput) หรือ “กระบวนการเผาผลาญพลังงานทางสังคม” (social metabolism) หรือการแลกเปลี่ยนทางวัตถุและพลังงานอย่างแท้จริงระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ผมจะใช้คำว่า “การเติบโตทางเศรษฐกิจเชิงวัตถุ” (material economic growth) เมื่อพูดถึงปรากฏการณ์ในภาพกว้างที่ว่านี้

ย่อหน้าสุดท้ายนี้สรุปภาพรวมของความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการเติบโต และสิ่งที่เป็นปัญหาจากมุมมองของขบวนการเลิกโตได้อย่างชัดเจน GDP เป็นเพียงตัวชี้วัดมูลค่าการแลกเปลี่ยนรวมทั้งหมด ซึ่งในทางปฏิบัติ ก็คือ ผลรวมของต้นทุนบวกกับค่าเช่าทางเศรษฐกิจ การลดการใช้ทรัพยากรที่จำเป็นในการผลิตสินค้าหรือบริการที่ให้มูลค่าใช้สอย (use-value) ในระดับเท่าเดิม จะทำให้ GDP ลดลงในระดับที่เท่ากัน เว้นแต่ว่าจะมีค่าเช่าทางเศรษฐกิจที่เกิดจากความขาดแคลนเทียม (artificial scarcities) หรือสิทธิในทรัพย์สินเทียม (artificial property rights) มาขวางไว้ไม่ให้ต้นทุนที่ลดลงสะท้อนอยู่ในราคาสุดท้ายของสินค้าและบริการ เป้าหมายหลักของแนวคิดเลิกโตอยู่ที่การลดต้นทุนทางวัตถุที่ใช้ในการผลิต โดยที่มูลค่าใช้สอยที่ผลิตได้ไม่ได้เปลี่ยนไป ด้วยเหตุนี้ การลดการบริโภคต้นทุนทางวัตถุจึงสามารถลด GDP ลงได้โดยไม่จำเป็นต้องทำให้ระดับมาตรฐานการครองชีพจริงๆ ลดลง หากการผลิตและการออกแบบที่เปลี่ยนแปลงไปยังคงมีประสิทธิภาพ

เมื่อพิจารณาในบริบทนี้แล้ว ย่อหน้ารองสุดท้ายจึงเป็นการขยายหลักการที่ระบุไว้ในย่อหน้าสุดท้าย (แม้จะมีความสับสนบางประการปะปนอยู่บ้าง) ว่า GDP “ไม่ได้บอกอะไรเลยเกี่ยวกับทางเลือกที่หลากหลาย หรือการคิดค้นสินค้าและบริการรูปแบบใหม่” คุณภาพทางเทคนิคของสินค้าและบริการสามารถเพิ่มขึ้นได้ โดยที่ไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อ GDP ในเชิงตัวเลขเลยแม้แต่น้อย

แต่ต่อให้ยอมรับเรื่องนี้ ไครเดอร์กลับมองว่าการปฏิวัติดิจิทัลและการเพิ่มขึ้นของพลังประมวลผล “เกิดขึ้นได้ก็เพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจ” ตรงนี้เองที่เขาผิดพลาดเช่นเดียวกับลีห์ ฟิลิปส์ และผู้วิจารณ์แนวคิดเลิกโตคนอื่นๆ ตรงที่มองว่า “การเติบโต” เป็นคำศักดิ์สิทธิ์จนแทบจะมีความหมายเดียวกับ “ความก้าวหน้า” (progress) ทั้งที่จริงๆ แล้ว คำคำนี้ [การเติบโต] ควรหมายถึงแค่การเพิ่มขึ้นของมูลค่าการแลกเปลี่ยนรวม (aggregate exchange value) ซึ่งหลักๆ แล้วถูกกำหนดจากรอยเท้าวัสดุ (material footprint) มากกว่าจะเป็นปริมาณของมูลค่าใช้สอยแท้จริงที่ถูกผลิตขึ้น

อย่างไรก็ตาม ไครเดอร์สลับมาใช้คำว่า “การเติบโต” ในความหมายใกล้เคียงหรืออย่างน้อยๆ ก็ซ้อนทับกันเป็นอย่างมากกับรอยเท้าวัสดุหรือการบริโภคทรัพยากร

แนวคิดเลิกโต ไม่ว่าจะเป็นแนวเสรีนิยมหรืออื่นๆ ล้วนให้เหตุผลที่น่าเชื่อถือในการตั้งคำถามต่อ “อำนาจครอบงำ” เชิงบรรทัดฐาน “ของการเติบโต” (normative hegemony of growth) เรากำลังเผชิญกับหายนะทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะรับมือได้อย่างจริงจังก็ต่อเมื่อเราลดกระบวนการเผาผลาญทางสังคมลงอย่างชัดเจน การเติบโตทางเศรษฐกิจในเชิงวัตถุ จำเป็นต้องอาศัยการรุกล้ำธรรมชาติมากขึ้นเรื่อยๆ และปัญหานี้ชัดเจนที่สุดในกรณีของเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นรากฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกมาตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ความเป็นไปได้ในการแยกการผลิตพลังงาน  และระบบเศรษฐกิจในภาพรวม ออกจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อแหล่งพลังงานหมุนเวียนกำลังจะขึ้นมาแทนที่ถ่านหินภายในปี 2025 และต้นทุนของพลังงานแสงอาทิตย์ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง แผนการบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ฟังดูทะเยอทะยานก็จริง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาดขนาดใหญ่ก็เริ่มเกิดขึ้นจริง ผ่านตัวอย่างที่น่าจับตามองอย่างกฎหมายลดอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act) ของรัฐบาลไบเดน

น่าสังเกตว่า “การลดกระบวนการเผาผลาญทางสังคม” และการแยกต้นทุนด้านทรัพยากรออกจากการผลิตมูลค่าใช้สอย คือคำอธิบายที่แม่นยำเกี่ยวกับเป้าหมายที่แท้จริงของขบวนการเลิกโต ถึงกระนั้น ไครเดอร์กลับข้ามไปสรุปโดยไม่ได้อิงกับสิ่งที่เขาอภิปรายมาก่อนหน้าแบบเดียวกับที่ชเมลเซอร์และคณะสรุปผลสำรวจไปไกลกว่าข้อเท็จจริง

ความพยายามของแนวคิดเลิกโตในการแยกการเติบโตทางเศรษฐกิจออกจากแนวคิดอย่างสวัสดิการ การพัฒนา และความเจริญรุ่งเรือง ถือเป็นการปรับมุมมองที่เป็นประโยชน์ ทว่าข้อเสนอของพวกเขาไม่ได้หยุดแค่ว่าการเติบโตไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่ถึงกับเสนอว่าการเติบโต…เป็นเรื่องไม่สลักสำคัญ (จากมุมมองฝ่ายซ้ายแบบเข้มข้นกว่า) หรือกระทั่งส่งผลเสียหายเลยด้วย แม้ว่าแนวคิดเลิกโตแบบเสรีนิยมจะมีถ้อยคำที่พยายามวางตัวเป็นกลางต่อประเด็นเรื่องการเติบโต แต่แก่นหลักของกระแสต่างๆ ภายในขบวนการเลิกโต คือการต่อต้านทุนนิยม ต่อต้านอุตสาหกรรม ต่อต้านความมั่งคั่งล้นเหลือ (anti-abundance) และถึงที่สุดก็คือต่อต้านแนวคิดเสรีนิยม

ในมุมมองแบบเลิกโต ผู้คนที่เชื่อในการเติบโต (growth subjects) ซึ่งก็คือคนธรรมดาๆ ที่ใช้ชีวิตธรรมดาๆ ในระบอบเสรีนิยมประชาธิปไตย จำเป็นต้องถูกสอนให้ลดความคาดหวังและความฝันของตนเองลง ทำไมคุณถึงอยากลองสิ่งใหม่ แนวคิดใหม่ๆ อาหารใหม่ๆ กีฬาใหม่ๆ ทำไมถึงอยากออกไปเห็นโลก ทำไมคุณถึงอยากบริโภคสื่อมากมาย อ่านหนังสือหลายเล่ม กินอาหารแปลกๆ หรือทำงานอดิเรกราคาแพงๆ

ความยุ่งเหยิงของข้อความข้างต้นยิ่งทวีความซับซ้อนขึ้นไปอีก เมื่อประโยคแรกของย่อหน้ากลับดูขัดแย้งกับสิ่งที่เหลือทั้งหมดในย่อหน้านั้นเอง

ไครเดอร์เริ่มต้นด้วยการยอมรับข้อได้เปรียบเชิงแนวคิดของการแยกคำว่า “การเติบโต” ออกจาก “ความเป็นอยู่ทางวัตถุ” (material welfare) แต่หลังจากนั้นเขากลับหันไปเหมารวมว่าการเลิกโตคือความฝืดเคืองที่เกิดจากการวางแผนแบบรวมศูนย์และการควบคุมทางสังคม ข้อกล่าวหาสุดท้ายของเขานี้ถูกนำเสนออย่างตรงไปตรงมาและรุนแรงยิ่ง

…หากผลักแนวคิดเลิกโตไปจนสุดทาง มันย่อมนำไปสู่การวางแผนเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์และการควบคุมทางสังคม ในโลกที่เลิกโต ความโน้มเอียงตามธรรมชาติของมนุษย์ที่จะแลกเปลี่ยนค้าขายเพื่อเติมเต็มความต้องการ ถูกมองด้วยความหวาดระแวงหรือกระทั่งเย้ยหยัน การแสวงหากำไร การลงทุน การบริโภค หรือแม้แต่การออม ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำเพื่อยกระดับชีวิตของตนเอง ของครอบครัว เพื่อนพ้อง หรือชุมชน แต่เนื่องจากแรงผลักดันที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของเรานี้ฝังลึก (primal) และทรงพลังมาก กิจกรรมเหล่านี้จึงจำเป็นต้องถูกชี้นำอย่างชัดเจนหรือควบคุมอย่างเด็ดขาด

เป็นไปไม่ได้เลยที่คนจำนวนมาก ภาคธุรกิจ และรัฐบาลในโลกที่มีเสถียรภาพ จะเลือกลดความมั่งคั่งและศักยภาพในการผลิต หรือเลือกที่จะยากจนลง ด้วยความสมัครใจ…

…ผู้สนับสนุนแนวคิดเลิกโตอาจโต้แย้งได้ทันทีว่า “เสรีภาพ” ของมนุษย์ คือราคาที่จำเป็นต้องจ่ายเพื่อหลีกเลี่ยงหายนะทางระบบนิเวศ แต่ถึงแม้จะตัดเรื่องนี้ไป แนวคิดเลิกโตก็มีแนวโน้มจะล้มเหลวอยู่ดีในการตอบสนองต่อความจำเป็นขั้นพื้นฐานที่ถูกรวบไว้ที่ศูนย์กลาง บทเรียนทางเศรษฐกิจและประวัติศาสตร์ที่เจ็บปวดที่สุดก็คือ ความล้มเหลวของระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนรวมศูนย์ในการจัดหาสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐาน หรือปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน เพื่อไม่ให้ข้อกล่าวหาเรื่องการวางแผนจากส่วนกลาง ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการโจมตีฝ่ายซ้ายเพียงเพราะพูดถึงภาครัฐขนาดใหญ่ ผมขอออกตัวไว้ว่า การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศจำเป็นต้องมีการใช้จ่ายภาครัฐปริมาณมหาศาล และการขยายบทบาทภาครัฐไปสู่การจัดหา “ทางเลือกสาธารณะ” (public options) อาทิ การรักษาพยาบาล การดูแลเด็กเล็ก การธนาคาร การขนส่ง และบริการพื้นฐานอื่นๆ สามารถสร้างรากฐานที่มั่นคงให้ทุกคนมีชีวิตที่เจริญงอกงามได้ สิ่งนี้อาจจะเป็นสังคมนิยมหรือไม่ก็ได้ แต่มันไม่ใช่การวางแผนจากส่วนกลางแน่ การวางแผนจากส่วนกลางจะเกิดขึ้นก็เมื่อการเลือกบริโภคในชีวิตประจำวัน หรือการริเริ่มทำธุรกิจ ถูกมองด้วยความระแวง และถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม เว้นแต่จะได้รับอนุมัติเป็นพิเศษจากสภา “ประชาธิปไตย”

เพื่อสนับสนุนประเด็นนี้ เขาอ้างข้อความจาก The Future is Degrowth ที่ว่า

เพื่อให้แนวคิดเลิกโตเป็นไปได้จริง เราต้องมองว่าการตัดสินใจทางเศรษฐกิจคือปัญหาทางการเมือง หมายความว่าเราต้องนำเศรษฐกิจกลับมาอยู่ในมือของประชาชน และเปิดโอกาสให้คนจำนวนมากขึ้นมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ เช่น เปิดโอกาสให้คนงานในโรงงาน เพื่อนบ้านรอบพื้นที่การเกษตร ผู้ใช้งานโรงไฟฟ้าที่ชุมชนเป็นเจ้าของ หรือผู้รับบริการในบ้านพักคนชรา ได้ร่วมกันตัดสินใจว่าจะผลิตอะไร จะมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและหน่วยเศรษฐกิจอื่นอย่างไร ต้องการบริการแบบใด และจะจัดการงานกันอย่างไร

เขายังกล่าวต่อไปในทำนองเดียวกันนี้ด้วยว่า

สมมติฐานเรื่องเสรีภาพ ซึ่งหมายถึงการทำ ซื้อขายแลกเปลี่ยน หรือทำงานในแบบที่เราต้องการ ถูกแทนที่ด้วยสมมติฐานเรื่องการได้รับอนุญาตจากผู้มีอำนาจ นี่คือเศรษฐศาสตร์การเมืองแบบสมาคมเจ้าของบ้าน (homeowners association) ในระดับท้องถิ่น ที่เมื่อขยายไปถึงระดับชาติ (หรือระดับนานาชาติ)

จะกลายเป็นการคัดและกำจัดทั้งภาคเศรษฐกิจบางส่วนทิ้งไปเพื่อ “ประโยชน์ร่วมกัน” (common good) ตามแนวคิดแบบเลิกโต สำหรับอุตสาหกรรมที่เหลืออยู่ ฝ่ายการเมืองจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจว่า สินค้าแบบใดและผู้ผลิตรายใดที่จำเป็นจริงๆ และสินค้าใดและผู้ผลิตรายใดต้องถูกตัดทิ้งเพราะถือว่าเป็นความฟุ่มเฟือยอันสิ้นเปลือง

น่าพิจารณาอย่างจริงจังว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบเศรษฐกิจแบบควบคุมและสั่งการจะส่งผลอย่างไรสำหรับมนุษย์ การเลิกโตอาจเสนอหลักประกันว่าทุกคนจะมีงานทำ (universal job guarantee) แต่งานที่มีให้เลือกจะลดน้อยลงมาก คุณอยากย้ายไปอยู่กับครอบครัวของตัวเองไหม คุณอยากหนีไปจากที่ทำงานแย่ๆ หรือเปล่า คุณอยากเรียนวรรณคดีเยอรมันหรือเศรษฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัย การตัดสินใจเหล่านี้อาจจำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากนักวางแผน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแผนเลิกโตระยะห้าปีเริ่มไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

หลังจากย้ำนักย้ำหนาว่า แนวคิดเลิกโตจำเป็นต้องพึ่งพาการวางแผนจากส่วนกลางในระดับเดียวกับระบอบสตาลิน

ไครเดอร์ก็วกกลับไปเหมารวมว่า “การเติบโต” หมายถึง “ความก้าวหน้า” และ “นวัตกรรม” อีกรอบ ทั้งที่เขาเองเคยยอมรับไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ทั้งสองอย่างสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องพึ่งการเพิ่มขึ้นของ GDP หรือการบริโภคทรัพยากร (กล่าวคือ ไม่เกี่ยวอะไรเลยกับ “การเติบโต”)

นี่คือการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในมุมกลับ เราไม่ควรเลิกโตเพราะการทำเช่นนั้นแลกมาด้วยเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่มากเกินจะยอมรับได้ นอกจากนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจเชิงวัตถุยังช่วยขยายศักยภาพของมนุษย์โดยตรง ความมั่งคั่งที่มากขึ้น ศักยภาพการผลิตที่สูงขึ้น และโครงสร้างสถาบันที่เอื้อต่อการนวัตกรรม ล้วนช่วยเพิ่มทางเลือกที่ใช้การได้จริง (effective options) ให้คนแต่ละคนสามารถดำเนินชีวิตตามเป้าหมายของตนเองได้หลากหลายยิ่งขึ้น การเติบโตทำให้เสรีภาพเป็นไปได้ และเสรีภาพทำให้การเติบโตเป็นไปได้เช่นกัน ทั้งสองอย่างไม่อาจแยกจากกันได้

ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะนึกถึงสิ่งประดิษฐ์ที่ได้เปลี่ยนขีดความสามารถของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง ตัวอย่างที่ผมชอบเป็นพิเศษคือ ยาคุมกำเนิด ซึ่งอาจมีบทบาทมากกว่าแนวคิดสตรีนิยมที่มีมาทั้งหมด ในการปลดปล่อยผู้หญิงให้มีส่วนร่วมในชีวิตสาธารณะ และบ่อนทำลายระบอบปิตาธิปไตย แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นได้บนฐานของความสามารถทางเศรษฐกิจในการพัฒนาและการผลิตในปริมาณมากๆ หากเราเลิกโตตั้งแต่สมัยของจอห์น สจ๊วต มิลลส์ การรักษาด้วยฮอร์โมนสำหรับคนข้ามเพศอาจไม่มีวันเกิดขึ้น การระบาดของโควิดจะส่งผลต่างออกไปมาก หากเราขาดความสามารถในการทำงานทางไกล (ซึ่งยังจำเป็นในบางระดับกระทั่งในระบบเลิกโต) และหากไม่มีขีดความสามารถทางอุตสาหกรรมที่พร้อมให้ผลิตวัคซีน mRNA แบบสั่งผลิตได้เป็นล้านโดสในเวลาอันสั้น การปฏิวัติเขียวทำให้เกษตรแบบอุตสาหกรรมหล่อเลี้ยงปากท้องคนพันๆ ล้านคน ขณะที่พันธุวิศวกรรมกำลังสานต่อแนวทางนั้นต่อไป เทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง CRISPR กำลังเปิดประตูไปสู่ความก้าวหน้าในการรักษาทางการแพทย์อย่างปฏิวัติวงการ และในฐานะเทคโนโลยีแพลตฟอร์มด้านสุขภาพ มันอาจกลายเป็นรากฐานของอุตสาหกรรมใหม่ทั้งระบบในอนาคต

ประเด็นที่ว่ามานี้จริงๆ แล้วขัดแย้งกับข้อเท็จจริงที่ว่า กลุ่มเลิกโตในเยอรมันจำนวนมากเห็นด้วยกับข้อความที่ว่า เทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นประโยชน์ต่อแนวทางเลิกโต

ถึงตรงนี้ ไครเดอร์กลับมาแยกความก้าวหน้าทางเทคนิคออกจาก “การเติบโต” ในความหมายของการเพิ่มขึ้นของ GDP อีกครั้ง

เราไม่รู้ และไม่สามารถรู้ได้ว่าเทคโนโลยีอะไรบ้างที่อาจกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ซึ่งอาจสำคัญกับเราพอๆ กับยาคุมกำเนิดหรือโทรศัพท์มือถือ  เราสามารถยอมรับได้ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจในเชิงวัตถุ มีคุณสมบัติที่น่าดึงดูดเหล่านี้ โดยไม่จำเป็นต้องยึดติดกับแนวคิดว่าเราต้องเพิ่ม GDP ให้สูงที่สุด

แต่ไม่ทันไร เขาก็กลับไปเทียบการเลิกโตกับความล้าหลังบรรพกาลอีกรอบ ด้วยภาษาที่เกือบจะสุดโต่งพอๆ กับที่ลีห์ ฟิลิปส์ พูดถึง “เสื้อผ้าหยาบๆ” และ “กางเกงแครอทแบบออร์แกนิก”

แนวคิดดีๆ ที่อยู่ในแนวคิดเลิกโต (กลุ่มแบ่งปันของฟรี [buy-nothing groups], ห้องสมุด, บริการสาธารณะถ้วนหน้า รวมถึงการรณรงค์ด้านความยุติธรรมทางสังคมทั้งหลาย) สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ด้วยกรอบคิดที่เป็นมิตรกับการเติบโต ส่วนที่แนวคิดเลิกโตเพิ่มเข้ามามีแต่แนวคิดแย่ๆ ตั้งแต่การวางแผนจากส่วนกลาง การหวาดระแวงและการทำให้ทางเลือกในการใช้ชีวิตและทางเลือกทางเศรษฐกิจในชีวิตประจำวันกลายเป็นเรื่องการเมือง และการลดทอนความทะเยอทะยานของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง ทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำให้เรากล้าก้าวออกไปสร้าง สำรวจ และยกระดับตัวเองอีกต่อไป แต่กลับทำให้เราเอาแต่หมกตัวอยู่ในพื้นที่ที่เราคุ้นเคย

ไครเดอร์ทิ้งท้ายบทความไว้แบบนี้ ปัญหามีอยู่สองประเด็นใหญ่ๆ ด้วยกัน

หนึ่ง เห็นชัดว่าไครเดอร์ไม่แม่นยำในแง่แนวคิด ซึ่งไม่จำเป็นต้องอธิบายขยายความให้ยืดยาว เพราะเราได้เห็นไปแล้วตลอดบทวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ว่าเขาเปลี่ยนความหมายของการเลิกโตในแต่ละย่อหน้าไปอย่างไร

ปัญหาที่สองคือสมมติฐานที่ไร้เหตุผลรองรับว่าการเลิกโตต้องอาศัยการ “กำหนดขีดจำกัด” ผ่าน “การวางแผนจากศูนย์กลาง” แทนที่ (อาจ) จะหมายถึงแค่การยกเลิกกลไกที่มีอยู่แล้วทั้งหมด ที่รัฐใช้เพื่อส่งเสริมและอุดหนุนการบริโภคทรัพยากรอย่างเป็นล่ำเป็นสัน และกลไกต่างๆ ที่รัฐสร้างขึ้นเพื่อขัดขวางประสิทธิภาพ[ของระบบเศรษฐกิจ] ไครเดอร์ใช้กรอบความคิดแบบเดียวกับที่ผู้สนับสนุนระบบทุนนิยมสายเสรีนิยมส่วนใหญ่ใช้ นั่นคือ เชื่อว่าทุกสิ่งที่ฝ่ายซ้ายวิพากษ์เกี่ยวกับระบบทุนนิยม เช่น ความเหลื่อมล้ำ การเอารัดเอาเปรียบ โมเดลธุรกิจที่ขูดรีดทรัพยากร และการบริโภคอย่างไม่ยั่งยืน เป็นผลลัพธ์ตามธรรมชาติของกลไกตลาด ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงได้ก็ต่อเมื่อมีการแทรกแซงจากภายนอก หรือการบังคับใช้ข้อจำกัดบางอย่างลงไปจากเบื้องบนเท่านั้น

แต่ความจริงกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ระบบทุนนิยมกับรัฐชาติเป็นเหมือนแฝดต่างไข่ที่มีจุดกำเนิดร่วมกันมาตั้งแต่ต้นยุคสมัยใหม่ และทั้งสองอยู่ในความสัมพันธ์แบบพึ่งพาเกื้อหนุนกันมาโดยตลอด ลักษณะสำคัญทั้งหลายของระบบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นการยึดครองและล้อมรั้วที่ดิน การแยกชนชั้นแรงงานส่วนใหญ่จากปัจจัยดำรงชีพ การบังคับใช้ระบบทำงานแลกค่าแรงและระบบเงินตรา การเปลี่ยนที่ดินและแรงงาน (ในภาษาของโปลานยี) ให้กลายเป็น “สินค้าเทียม” (fictitious commodities) ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ต้องอาศัยความรุนแรงเชิงสถาบันโดยรัฐทั้งสิ้น ทุนนิยมยังต้องพึ่งพิงความรุนแรงของรัฐอย่างต่อเนื่อง เพราะผลกำไรส่วนใหญ่ในระบบนี้เป็นผลของค่าเช่าทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้มาจากการลงแรงทำงาน ซึ่งเรียกเก็บจากสิทธิในทรัพย์สินที่สร้างขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม และความขาดแคลนที่ถูกสร้างขึ้นโดยเจตนา อาทิ การถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยเจ้าของที่ไม่ได้ใช้งานเอง (absentee ownership) ทรัพย์สินทางปัญญา หรือข้อจำกัดทางกฎหมายที่สงวนสิทธิในการให้เครดิตไว้เฉพาะกับผู้ที่มีทรัพย์สะสมมาก่อนเท่านั้น เป็นต้น ค่าเช่าเหล่านี้เองคือเครื่องมือที่ทำให้ความมั่งคั่งที่สะสมอยู่แล้วสามารถเติบโตแบบทบต้นไปได้เรื่อยๆ

สิ่งที่สำคัญที่สุดในบริบทของเราคือแนวทางที่ทุนนิยมยึดถือมาตั้งแต่ต้น ในการไขว่คว้าการเติบโตอย่างไม่สิ้นสุด ผ่านการเพิ่มต้นทุนทรัพยากรใหม่ๆ ที่ถูกทำให้ราคาถูกอย่างจงใจ เข้าไปในระบบอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในหน้าที่หลักของรัฐทุนนิยม ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่การยึดครองทรัพยากรของประเทศอาณานิคมและการปิดล้อมประเทศเหล่านั้นไว้โดยทุนตะวันตก คือการรับประกันว่าวัตถุดิบเหล่านี้จะต้องมีราคาถูก สิ่งนี้ยังคงดำเนินต่อมาในรูปแบบของการบังคับให้ประเทศอื่นพัฒนาเศรษฐกิจด้วยการเน้นการส่งออก ซึ่งวางอยู่บนการจัดหาวัตถุดิบให้แก่ประเทศตะวันตกภายใต้ระบอบอาณานิคม ตามด้วยบังคับให้ประเทศซีกโลกใต้ใช้โมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจที่เน้นการส่งออกผ่านสถาบันพหุภาคีทั้งหลาย อาทิ ธนาคารโลกและ IMF รวมถึงบทบาทของสหรัฐอเมริกาและรัฐพันธมิตรในการทำสงครามชิงน้ำมันและโค่นล้มรัฐบาลที่ไม่ยอมเล่นตามเกมเสรีนิยมใหม่

ทำนองเดียวกัน ภายในประเทศเอง รัฐยังมีบทบาทในการเอื้อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง โดยอาศัยทรัพยากรที่ถูกทำให้ราคาถูกโดยจงใจ ดังที่เจมส์ โอคอนเนอร์ เคยชี้ไว้นานมาแล้วในหนังสือ The Fiscal Crisis of the State นอกจากการทำสงครามชิงน้ำมัน และบทบาทสำคัญของกองทัพเรือสหรัฐฯ ในการดูแลเส้นทางขนส่งน้ำมันทางทะเลโดยใช้เงินภาษีของประชาชนแล้ว รัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ยังเป็นผู้สร้างระบบการบินพลเรือนแทบทั้งหมดด้วยเงินของรัฐ และเป็นผู้นำในการจัดตั้งและสนับสนุนโครงการระบบทางหลวงระหว่างรัฐ (Interstate Highway System) อย่างเต็มที่อีกด้วย หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ไป หากไม่มีการผลักต้นทุนด้านการกระจายสินค้าในระดับมหาศาลไปให้ผู้เสียภาษีรับภาระแทน ห่วงโซ่อุปทานที่ยืดยาวของระบบทุนนิยมยุคใหม่ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย

รัฐยังมีบทบาทอย่างแข็งขันในการส่งเสริมให้มีการใช้กำลังการผลิตส่วนเกินของภาคอุตสาหกรรมอย่างเต็มที่ ผ่านการผลิตสินค้าสิ้นเปลือง โดยใช้กลไกต่างๆ อาทิ เศรษฐกิจแบบทหาร–อุตสาหกรรม (military-industrial economy) เงินอุดหนุนมหาศาลให้กับวัฒนธรรมรถยนต์และการขยายเมืองแบบไร้ทิศทาง (car culture and urban sprawl) และวิธีการที่ระบบสิทธิบัตรเอื้อให้เกิดการออกแบบสินค้าให้เสื่อมสภาพเร็วโดยตั้งใจ (planned obsolescence)

ตรงข้ามกับกรอบคิดของไครเดอร์ วิธีที่รวดเร็วที่สุดในการลดการผลิตสินค้าสิ้นเปลืองและลดการบริโภคทรัพยากรลงอย่างเร่งด่วน คือการยกเลิกการอุดหนุนโดยรัฐ และในระยะยาว วิธีที่มีประสิทธิภาพกว่าการวางแผนจากส่วนกลาง คือการกำจัดแรงจูงใจที่บิดเบือนด้วยระบบการจัดสรรล่วงหน้า (predistribution) กล่าวคือ ด้วยการออกแบบโครงสร้างสถาบันและนิยามสิทธิในทรัพย์สินใหม่ให้เป็นธรรมตั้งแต่ต้น จากนั้นจึงปล่อยให้กลไกราคาปรับสมดุลไปตามกติกาใหม่นั้นเอง ผมเสนอแนวคิดระบบสังคมนิยมแบบตลาดสไตล์ฮาเย็คบนฐานของการจัดสรรล่วงหน้าผ่านการออกแบบกติกาเรื่องทรัพย์สินนี้ไว้ใน Hayek’s Fatal Conceit (C4SS, 2020) หน้า 14-24

ผมยกทั้งสองประเด็นนี้มาแลกเปลี่ยนกับไครเดอร์สั้นๆ (ทั้งหมดในโพสต์ความยาว 300 ตัวอักษร) บนแพลตฟอร์ม Bluesky เมื่อวันที่ 4 เมษายน ซึ่งนำไปสู่การแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ (ต้องมีบัญชี Bluesky ก่อนถึงจะอ่านได้)

ไครเดอร์ตอบกลับมาว่า “ผู้สนับสนุนแนวคิดเลิกโตพูดถึงการกำหนดขีดจำกัดไว้จริงๆ พวกเขาพูดถึงการกำจัด ‘การบริโภคเกินที่จำเป็น’ และ ‘อุตสาหกรรมที่ฟุ่มเฟือย’ ซึ่งประเด็นสำคัญอยู่ที่รายละเอียด และที่สำคัญกว่านั้นคือ ใครเป็นคนตัดสินใจว่าอะไรฟุ่มเฟือย”

ประเด็นแรกที่ผมชี้ให้ไครเดอร์เห็น คือ “นักต่อต้านทุนนิยมโดยทั่วไปมักมีแนวโน้มที่จะยอมรับกรอบนิยามของทุนนิยมตามที่ว่าๆ กันเวลาพูดถึง ‘ทุนนิยมที่ไร้การควบคุม’ (unfettered capitalism) และมองข้ามความจริงที่ว่าโมเดลการทำกำไร[ของทุนนิยม]อาศัยการปิดกั้นทรัพยากรร่วมดูแล (enclosed commons) การสร้างความขาดแคลนเทียม และการควบคุมหรือการอุดหนุนโดยรัฐอื่นๆ ด้วย”

แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ วลีสองวลีที่เขาใส่เครื่องหมายคำพูดไว้ไม่ได้สื่อเป็นนัยแต่อย่างใดว่าจำเป็นต้องมีการบังคับจากภายนอก ข้อสรุปของเขาที่ว่า การลดการบริโภคที่เกินจำเป็นหรืออุตสาหกรรมที่ฟุ่มเฟือยต้องอาศัยการวางแผนจากศูนย์กลางนั้น ตั้งอยู่บนสมมุติฐานลึกๆ ของเขาเองเกี่ยวกับธรรมชาติของระบบทุนนิยมในปัจจุบัน อย่างที่เราเห็นกันไปแล้ว รัฐทุนนิยมต่างหากที่มีบทบาทอย่างแข็งขันในการส่งเสริมการผลิตสินค้าสิ้นเปลื้องและความไม่เป็นเหตุเป็นผล ผ่านการแทรกแซงเชิงบวกทั้งหลาย และปัญหานี้แก้ได้ด้วยการยกเลิกการแทรกแซงเหล่านั้นทั้งหมด

สุดท้ายไครเดอร์ยังกล่าวอีกว่า “แนวคิดเลิกโตเกี่ยวข้องกับเศรษฐศาสตร์แห่งความหวาดระแวง กิจกรรมทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหาหรือประดิษฐ์สร้าง ล้วนต้องมีเหตุผลมารองรับว่าทำไปเพื่ออะไร ผมยกตัวอย่างหลักฐานลายลักษณ์อักษรของเศรษฐศาสตร์แห่งความหวาดระแวงนี้ไว้ในบทความ”

ถูกต้องเลยครับ เราพิจารณาคุณภาพของ “หลักฐานลายลักษณ์อักษร” ของเขาไว้แล้วข้างต้น เขาเสนอหลักฐานตรงๆ ไว้เพียงไม่กี่ที่ ด้วยการอ้างถึงบางประโยคที่วิจารณ์ “อุตสาหกรรมนิยม” และ “จุดยืนแบบผลิตภาพนิยมฝ่ายซ้าย” ในหนังสือ The Future is Degrowth นอกจากนั้น เราเห็นแล้วว่าการใช้ถ้อยคำของคณะผู้เขียนในการอธิบายจุดยืนของแนวคิดเลิกโต เป็นเพียงการตีความของพวกเขาเองแทบทั้งนั้น และไม่ได้มีหลักฐานรองรับอย่างจริงจังจากผลการสำรวจที่พวกเขาอ้างถึงเลย

ส่วนในประเด็นที่หนังสือ The Future is Degrowth กล่าวไว้ว่า “เราต้องมองว่าการตัดสินใจทางเศรษฐกิจคือปัญหาทางการเมือง” คำกล่าวนี้สะท้อนมุมมองของผู้เขียนหนังสือเองเป็นหลัก โดยไม่มีหลักฐานใดๆ ที่ชี้ให้เห็นว่าเป็นมุมมองร่วมกันของขบวนการเลิกโต หรือของผู้สนับสนุนแนวคิดนี้ในวงกว้าง ยิ่งไปกว่านั้น การมองว่าการตัดสินใจทางเศรษฐกิจเป็น “ปัญหาทางการเมือง” ยังไม่ได้หมายความว่าเราควรมอบอำนาจให้รัฐเข้ามาควบคุมเศรษฐกิจ เพราะการตัดสินใจว่าจะมอบอำนาจให้รัฐหรือไม่ และมากน้อยแค่ไหน นั่นก็เป็นประเด็นทางการเมืองเช่นกัน สิ่งที่เราต้องการอาจบรรลุได้ง่ายๆ ด้วยกลไกที่กำหนดล่วงหน้า (ex ante means) เช่น การมอบกรรมสิทธิ์ในกิจการให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยอัตโนมัติ และจัดให้กิจการเหล่านั้นอยู่ภายใต้ระบบการจัดการตนเอง (self-management) หรือการให้ทรัพยากรธรรมชาติอยู่ภายใต้องค์กรจัดการทรัพยากรร่วมดูแลของท้องถิ่น (local commons management bodies) แบบที่เอลินอร์ ออสตรอม เสนอไว้ มากกว่าจะใช้การวางแผนจากส่วนกลาง ว่ากันตามตรง แนวทางเหล่านี้จะเป็นการจัดสรรสิทธิในทรัพย์สินที่มีเหตุผลมากกว่า ทั้งยังสร้างแรงจูงใจที่บิดเบือนน้อยกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในระบบปัจจุบัน มิหนำซ้ำยังสอดคล้องเป็นอย่างยิ่งกับกระบวนการกำหนดราคาดุลยภาพของตลาด และการจัดสรรสินค้าโดยกลไกตลาด

พ้นไปจากนี้แล้ว ผมไม่เห็นว่าจะมีหลักฐานใดๆ นอกจากข้อสรุปเชิงลบที่ไครเดอร์คิดเองเออเองว่าเป้าหมายปลายทางของขบวนการเลิกโตต้องอาศัยปัจจัยใดบ้าง

ตามที่ผมเสนอไปในงานศึกษาของ C4SS ผู้สนับสนุนการเลิกโตและผู้ต่อต้านการเลิกโตแนวอีโคโมเดิร์นนิสต์ ต่างก็มีส่วนรับผิดชอบต่อความเละเทะของวิวาทะเกี่ยวกับการเติบโตนี้ เพราะทั้งสองฝ่ายต่างมีแนวคิดอันสะเปะสะปะ ใช้คำว่า “การเติบโต” และ “การเลิกโต” ในความหมายที่คลุมเครือ และไม่เคยให้นิยามไว้ชัดๆ ทั้งยังไม่ได้ยึดกับคำนิยามใดคำนิยามหนึ่งอย่างสม่ำเสมออีกด้วย อย่างไรก็ตาม เราพอจะอนุมานถึงนิยามที่ชัดเจนขึ้นในระดับหนึ่งได้หากดูจากแนวโน้มที่ปรากฏในสำนวนโวหารที่แต่ละฝ่ายใช้

แม้จะมีความคลุมเครือและไม่สม่ำเสมออยู่บ้าง แต่สำหรับผู้สนับสนุนการเลิกโต นิยามโดยนัยของการเลิกโต หมายถึง การลดการใช้ทรัพยากรโดยรวม และการลดบทบาทของ GDP ในฐานะตัวชี้วัดผลรวมของมูลค่าของต้นทุนทรัพยากรที่ถูกใช้ไปโดยไม่ใส่ใจต่อมาตรฐานของชีวิตความเป็นอยู่ ขณะที่สำหรับผู้ต่อต้านแนวคิดเลิกโต คำว่า “เลิกโต” หมายถึงความฝืดเคืองและความชะงักงันทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ดังที่ไครเดอร์สรุปไว้อย่างเห็นภาพว่าคือการ “หยุดเครื่องยนต์เศรษฐกิจ แล้วใส่เกียร์ถอยหลัง”

วิวาทะนี้จะคืบหน้าไปได้ก็ต่อเมื่อฝ่ายสนับสนุนทำความเข้าใจตรรกะของจุดยืนของตัวเองให้ชัดเจน ว่ามันนำไปสู่อะไร และจากนั้นต้องอธิบายตรรกะนั้นอย่างเป็นระบบและมีเหตุมีผล ทำนองเดียวกัน ฝ่ายต่อต้านก็จำเป็นต้องถกเถียงกับจุดยืนจริงๆ ของแนวคิดเลิกโต แทนที่จะใช้ตรรกะวิบัติแบบหุ่นฟาง เป้าหมายร่วมของทั้งสองฝ่ายควรจะเป็นการหาจุดร่วมในการแยกมาตรฐานการดำรงชีวิตของเราออกจาก GDP และการบริโภคทรัพยากร และกำจัดความสิ้นเปลืองและไร้เหตุไร้ผลอันเกิดจากการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการและความจำเป็นของพวกเราเอง

C4SS relies entirely on donations. If you want to see more translations like this, please consider supporting us. Click here to see how

The Center for a Stateless Society (www.c4ss.org) is a media center working to build awareness of the market anarchist alternative


Source: https://c4ss.org/content/60616


Before It’s News® is a community of individuals who report on what’s going on around them, from all around the world.

Anyone can join.
Anyone can contribute.
Anyone can become informed about their world.

"United We Stand" Click Here To Create Your Personal Citizen Journalist Account Today, Be Sure To Invite Your Friends.

Before It’s News® is a community of individuals who report on what’s going on around them, from all around the world. Anyone can join. Anyone can contribute. Anyone can become informed about their world. "United We Stand" Click Here To Create Your Personal Citizen Journalist Account Today, Be Sure To Invite Your Friends.


LION'S MANE PRODUCT


Try Our Lion’s Mane WHOLE MIND Nootropic Blend 60 Capsules


Mushrooms are having a moment. One fabulous fungus in particular, lion’s mane, may help improve memory, depression and anxiety symptoms. They are also an excellent source of nutrients that show promise as a therapy for dementia, and other neurodegenerative diseases. If you’re living with anxiety or depression, you may be curious about all the therapy options out there — including the natural ones.Our Lion’s Mane WHOLE MIND Nootropic Blend has been formulated to utilize the potency of Lion’s mane but also include the benefits of four other Highly Beneficial Mushrooms. Synergistically, they work together to Build your health through improving cognitive function and immunity regardless of your age. Our Nootropic not only improves your Cognitive Function and Activates your Immune System, but it benefits growth of Essential Gut Flora, further enhancing your Vitality.



Our Formula includes: Lion’s Mane Mushrooms which Increase Brain Power through nerve growth, lessen anxiety, reduce depression, and improve concentration. Its an excellent adaptogen, promotes sleep and improves immunity. Shiitake Mushrooms which Fight cancer cells and infectious disease, boost the immune system, promotes brain function, and serves as a source of B vitamins. Maitake Mushrooms which regulate blood sugar levels of diabetics, reduce hypertension and boosts the immune system. Reishi Mushrooms which Fight inflammation, liver disease, fatigue, tumor growth and cancer. They Improve skin disorders and soothes digestive problems, stomach ulcers and leaky gut syndrome. Chaga Mushrooms which have anti-aging effects, boost immune function, improve stamina and athletic performance, even act as a natural aphrodisiac, fighting diabetes and improving liver function. Try Our Lion’s Mane WHOLE MIND Nootropic Blend 60 Capsules Today. Be 100% Satisfied or Receive a Full Money Back Guarantee. Order Yours Today by Following This Link.


Report abuse

Comments

Your Comments
Question   Razz  Sad   Evil  Exclaim  Smile  Redface  Biggrin  Surprised  Eek   Confused   Cool  LOL   Mad   Twisted  Rolleyes   Wink  Idea  Arrow  Neutral  Cry   Mr. Green

MOST RECENT
Load more ...

SignUp

Login

Newsletter

Email this story
Email this story

If you really want to ban this commenter, please write down the reason:

If you really want to disable all recommended stories, click on OK button. After that, you will be redirect to your options page.